ANIMAL BEHAVIOR
วิชาชีววิทยา เรื่อง พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต
จัดทำและรวบรวมโดย ครูปรมินทร์ แก้วกล่ำศรี
โรงเรียนสายปัญญา ในพระบรมราชินูปถัมภ์
พฤติกรรมของสัตว์เป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม
พันธุกรรม
สภาพแวดล้อม
จะควบคุมระดับการเจริญของส่วนต่างๆ ของสัตว์ เช่นระบบประสาท ฮอร์โมน กล้ามเนื้อ และอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดพฤติกรรม
สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ จะรับในภายหลังทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
โดยอิทธิพลของพันธุกรรมจะเห็นได้ชัดเจนในสัตว์ชั้นต่ำมากกว่าสัตว์ชั้นสูง ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการจะศึกษาพื้นฐานทางธรรมชาติที่แท้จริงของพฤติกรรมจึงนิยมศึกษาในสัตว์ชั้นต่ำ
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับพัฒนาการของระบบประสาท
ชนิดสิ่งมีชีวิต | ระบบประสาท | พฤติกรรมที่สำคัญ |
โพรโทซัว
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
สัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ
Mammal
คน
| -ไม่มีระบบประสาท
-ไม่มีสมองที่แท้จริง -ระบบประสาทไม่ซับซ้อน มีปมประสาทอยู่บ้างและเซลล์ประสาทต่อกันเป็นร่างแห -สมองส่วนหน้ายังไม่พัฒนา เมื่อเปรียบกับสมองส่วนกลาง -สมองส่วนหน้าเจริญขึ้น -สมองส่วนกลางลดขนาดลง -สมองส่วนหน้าเจริญดี
| -แทกซิส -ไคนีซิส -รีเฟล็กซ์ -พฤติกรรมเป็นมาแต่กำเนิด -รีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง
-การเรียนรู้แบบง่าย
-การเรียนรู้ที่ซับซ้อน -ใช้เหตุผลบ้าง -การใช้เหตุผลที่ซับซ้อน
|
กลไกการเกิดพฤติกรรม
แบ่งประเภทของพฤติกรรมออกเป็น 2 แบบคือ
เป็นพฤติกรรมแบบง่ายๆ เป็นลักษณะเฉพาะที่ใช้ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น แสง เสียง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี หรือเหตุการณ์ที่เกิดเป็นช่วงเวลาที่สม่ำเสมอ เช่น กลางวัน กลางคืน น้ำขึ้นน้ำลง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวเพื่อปรับตำแหน่งที่เหมาะสม
ลักษณะของพฤติกรรมที่มีแต่กำเนิด ได้แก่
1. เป็นพฤติกรรมง่ายๆที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง
2. การแสดงพฤติกรรมได้มาจากพันธุกรรมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน
3. มีแบบแผนที่แน่นอนเฉพาะตัว สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด
รีเฟล็กซ์ (Reflex)
เป็นพฤติกรรมที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นอย่างรวดเร็วทันทีทันใด
- การกระพริบตาเมื่อผงเข้าตา
- การยกเท้าหนีทันทีเมื่อเหยียบหนาม ของแหลม หรือของร้อน
- การไอ การจาม เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินหายใจ
พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง (Chain of Reflexes)
เป็นพฤติกรรมที่ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยๆ หลายพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน
- การดูดนมของทารก - การสร้างรังของนกและแมลง
- การชักใยของแมงมุม - การเกี้ยวพาราสีของสัตว์ต่างๆ
- การฟักไข่และเลี้ยงลูกอ่อนของสัตว์ - การจำศีลและการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์
- การกินอาหารของสัตว์แต่ละชนิด เช่น การแทะมะพร้าวของกระรอก
พฤติกรรมแบบไคนีซิส ( Kinesis )
เป็นพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่ทั้งตัวแบบมีทิศทางไม่แน่นอน คือ
มีทิศทางที่ไม่สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำและพวกโปรติสต์ ซึ่งมีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพไม่ดีพอ
เช่น
- การเคลื่อนที่ออกจากบริเวณที่อุณหภูมิสูงของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่หนีฟองแก๊ส CO2 ของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่ของตัวกุ้งเต้นเมื่ออยู่ในความชื้นที่แตกต่างกัน
พฤติกรรมแบบแทกซิส ( Taxis )
เป็นพฤติกรรมการเคลื่อนที่เข้าหาหรือหนีจากสิ่งเร้าอย่างมีทิศทางที่แน่นอน พฤติกรรมแบบนี้มักพบในสิ่งมีชีวิตที่มีหน่วยรับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพดีพอจะสามารถรับรู้และเปรียบเทียบสิ่งเร้าได้
เช่น
- การเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของพลานาเรีย
- การเคลื่อนที่ของหนอนแมลงวันหนีแสง
- การเคลื่อนที่ของแมลงเม่าเข้าหาแสง
- การบินเข้าหาผลไม้สุกของแมลงหวี่
- การเคลื่อนที่ของค้างคาวเข้าหาแหล่งอาหารตามเสียงสะท้อน
- เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการเรียนรู้มาก่อน เป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน สัตว์จะมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ต้องมีระบบประสาท สัตว์ที่มีระบบประสาทดีจะเรียนรู้ได้มาก ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีพฤติกรรมแบบนี้ดีที่สุด
- เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์ในอดีต ซึ่งเกิดในสัตว์ที่มีระบบประสาทส่วนกลาง สัตว์พวกแรกสุดที่มีพฤติกรรมการเรียนรู้คือหนอนตัวแบน
พฤติกรรมการฝังใจ (Imprinting)
เกิดขึ้นเฉพาะในวัยแรกเกิดและมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ได้รับครั้งแรกสุดในชีวิต
เช่น การเดินตามวัตถุที่ส่งเสียงได้และเคลื่อนที่ได้ของลูกไก่ ลูกห่าน ลูกหนู ลูกสุนัข วัว ควาย และลิง
เมื่อได้รับสิ่งเร้าครั้งแรกสุดในชีวิตแล้ว อาจไม่ตอบสนองทันทีแต่อาจตอบสนอง เมื่อถึงระยะเวลาที่มีความพร้อมของร่างกาย เช่น การว่ายน้ำกลับมาวางไข่ยังแม่น้ำเดิมที่มันเกิดของปลา แซลมอน โดยสิ่งเร้าที่ได้รับครั้งแรก คือ กลิ่นของแม่น้ำ
พฤติกรรมการฝังใจ เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งเร้านั้นต้องกระตุ้นในช่วงเวลาจำกัดของวัยแรกเกิด ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เรียกว่าระยะวิกฤต ซึ่งเมื่อพ้นระยะนี้แล้วสัตว์จะไม่แสดงพฤติกรรมนี้อีก แม้จะได้รับสิ่งเร้านี้อีกก็ตาม
พฤติกรรมความเคยชิน(Habituation)
เป็นการเรียนรู้ที่ง่ายที่สุด คือเป็นอาการลดการตอบสนองของสัตว์ที่มีต่อตัวกระตุ้น ซึ่งไม่มีความหมายต่อการดำรงชีวิตของมันเลย เช่น สุนัขจ้องมองเห่าเครื่องบินในครั้งแรกที่มันได้ยินเสียงเครื่องบินแต่เมื่อมันได้ยินซ้ำทุกๆวัน และไม่ได้เกิดผลอะไรกับตัวมัน มันก็เลิกสนใจไปเอง
หนูที่เลิกตอบสนองต่อเสียง เนื่องจากไม่ส่งผลต่อตัวมัน เมื่อเวลาผ่านไป
พฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไข (Conditioning)
เป็นการนำสิ่งกระตุ้นชนิดหนึ่งเข้าไปแทนที่สิ่งกระตุ้นเดิมในการชักนำให้เกิดการตอบสนองชนิดเดียวกันขึ้น เช่น ทุกครั้งที่สุนัขได้กลิ่นหรือเห็นอาหารก็จะน้ำลายไหล การเรียนรู้จะหายไปได้เมื่อหยุดการให้รางวัล
- การทดลองของ อีวาน พาฟลอฟ ( Ivan Pavlov ) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย เป็นการทดลองว่า สุนัขหลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
1. ก่อนการเรียนรู้ ให้ อาหาร (สิ่งเร้าที่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล
2. ระหว่างการเรียนรู้ ให้อาหาร (สิ่งเร้าที่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล พร้อมสั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง)
3. หลังการเรียนรู้ สั่นกระดิ่ง (สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง) สุนัขน้ำลายไหล
- การฝึกสัตว์เลี้ยงที่บ้านให้แสนรู้ ฝึกสัตว์ไว้ใช้งาน ฝึกสัตว์แสดงละคร ล้วนมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขทั้งสิ้น
พฤติกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองทำหรือการลองผิดลองถูก
(Trial and error)
สัตว์จะแสดงพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นประโยชน์ต่อตัวมันอีกครั้ง ถ้ามีโอกาสทำได้ และจะไม่พยายามแสดงพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวมัน
พฤติกรรมการเรียนรู้แบบใช้เหตุผล ( Reasoning )
เป็นพฤติกรรมที่แสงดออกโดยใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยไม่ต้องทดลองทำ ซึ่งเป็นการใช้ประสบการณ์หลายอย่างในอดีตมาช่วยในการแก้ปัญหาสถานการณ์ใหม่ในครั้งแรก
เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้โดยอาศัยประสบการณ์หรือการเรียนรู้ของสัตว์ พฤติกรรมแบบส่วนนี้ส่วนใหญ่พบในสัตว์ชั้นสูงที่มีระบบประสาทที่เจริญดี